อาหารผิว เพื่อผิวดีจากภายในสู่ภายนอก-by-Doctor-Healthcare

ที่ผ่านมา ไม่ใช่เพียงสถาบันความงามที่พยายามไขความลับของการดูแลผิว ในทางวิทยาศาตร์และการแพทย์เอง ก็พยายามค้นคว้าวิจัยเก็บข้อมูลเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่กล่าวอ้างกันมากมาย ถึงสารอาหารหรือวิตามินที่ช่วยในการบำรุงผิวให้กระจ่างใส ดูอ่อนเยาว์ และไร้ริ้วรอย สิ่งที่ค้นพบนั้น เน้นย้ำเรื่องผิวสุขภาพดีต้องได้รับการบำรุงจากภายในโดยการทานและภายนอกจากการทาบำรุง

 

skin-nutrition-ผิวดี-บำรุงผิว-วิตามิน

 

สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) เป็นตัวหลักในการชะลอความเสื่อมจากการทำลายในร่างกาย สารอาหารบางตัวโดดเด่นในเรื่องการดูแลผิวพรรณ สถาบันผิวหนังอเมริกา (American Academy of Dermatology) ได้รวบรวมข้อมูลวิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ หรือสารอาหารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการบำรุงผิว พบว่ามี 5 ตัวหลัก ที่มีบทบาทโดดเด่นในปัจจุบัน

วิตามินซี (Vitamin C)

วิตามินซียังคงเป็นเจ้าแห่งวิตามินในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันเซลล์ถูกทำลาย ชะลอความเสื่อม ส่งผลให้ลดรอยเหี่ยวย่น ร่องบนผิวหนัง จุดด่างดำ มีส่วนช่วยในการสมานบาดแผล และมีส่วนในกระบวนการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นตัวคงความยืดหยุ่นในชั้นผิวหนัง จากงานวิจัยในปี 2005 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Journal of Investigative Dermatology พบว่าผู้ที่ใช้วิตามินซีและวิตามินอีร่วมกันเป็นระยะเวลานาน ช่วยลดผิวไหม้แดดจากรังสี UVB ได้ และยังพบว่าสารพันธุกรรมดีเอ็นเอในเซลล์ผิวถูกทำลายลดลง บ่งบอกว่ามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระชัดเจน ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งผิวหนัง

แต่ไม่ใช่ว่าใช้วิตามินซีแล้วจะไม่ต้องกังวลเรื่องแสงแดดไปเลย เรายังจำเป็นต้องทาครีมกันแดดที่มี SPF50+ ร่วมด้วยในช่วงเวลา 10.00 -14.00 น. เพื่อลดการทำร้ายจากแสงอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวีอีกทาง แหล่งที่พบวิตามินซี เช่น ผักผลไม้รสเปรี้ยว บรอคโคลี ดอกกะหล่ำ ผักใบเขียว หรืออาหารเสริมวิตามินซีปริมาณ 500-1000 มิลลิกรัม/วัน และควรทาครีมบำรุงหรือเซรั่มที่มีส่วนผสมเป็นวิตามินซีในรูปแบบกรดแอสคอร์บิก (L-ascorbic acid) ช่วงเช้า แล้วตามด้วยครีมกันแดดอีกครั้ง เพื่อปกป้องผิวจากจากอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสียูวี

วิตามินอี (Vitamin E)

ปกติแล้ววิตามินอีพบได้มากในต่อมไขมัน (sebum) ที่รูขุมขน มีส่วนช่วยในการให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง และวิตามินอียังพบว่ามีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดการทำลายของเซลล์ผิวจากมลภาวะ แสงแดด บุหรี่ จุดด่างดำ รอยเหี่ยวย่น จากงานวิจัยพบว่าเมื่อใช้วิตามินอีขนาดประมาณ 15 มิลลิกรัม/วัน หรือ 400 IU ร่วมกับวิตามินซีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการปกป้องผิวจากแสงแดด ใช้ทั้งก่อนและหลังเผชิญแสงแดด อาหารจากธรรมชาติที่พบว่ามีวิตามินอีมาก เช่น น้ำมันมะกอก เมล็ดทานตะวัน ถั่วลิสง อัลมอนด์ ธัญพืช ผักใบเขียว

วิตามินเอ (Vitamin A)

ผิวเป็นขุย ผิวหยาบ หรือผิวแห้ง อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเราขาดวิตามินเอ ทางการแพทย์ใช้วิตามินเอเพื่อรักษาโรคทางผิวหนังหลายชนิด เช่น สิว สะเก็ดเงิน รอยขีดขวน สมานบาดแผล สารที่มีบทบาทโดดเด่นมีชื่อว่า เรตินอยด์ (retinoids) ออกฤทธิ์เร็วใน 4-8 สัปดาห์ แต่พบอาการไม่พึงประสงค์ได้ เช่น ระคายเคืองผิว ผิวแดง วิธีการที่ช่วยลดปัญหาเหล่านี้ คือ เริ่มต้นใช้ในปริมาณเพียงเล็กน้อยเทียบเท่าเมล็ดถั่วลิสงซึ่งเพียงพอต่อการทาทั่วใบหน้า ใช้ทุก 2-3 คืนในช่วงสัปดาห์สองสัปดาห์แรก ควรทาในช่วงกลางคืนเพื่อหลีกเลี่ยงแสงแดดทำลายประสิทธิภาพของวิตามินเอ นอกจากนี้ จากงานวิจัยของประเทศฝรั่งเศสยังพบว่า การใช้ครีมที่มีส่วนประกอบของวิตามินเอและวิตามินซี ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวที่ถูกทำลายจากแสงและความเสื่อมตามอายุ แหล่งอาหารที่พบวิตามินเอมาก เช่น ไข่ ผักใบเขียว นม แครอท ตับ มะละกอ

วิตามินบีรวม (Vitamin B complex)

วิตามินมีส่วนช่วยในการบำรุงผิว ดังนั้นในมื้ออาหารของเราควรจะมีแหล่งของวิตามินบีด้วย วิตามินบี1 (Vitamin B1) ช่วยในการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวเราดูเปล่งปลั่ง พบมาในไข่แดง ถั่ว ลูกเกด วิตามินบี3 (Vitamin B3) หรือไนอะซิน ช่วยเพิ่มออกซิเจนให้กับผิว ลดการเกิดสิว แหล่งอาหารที่พบวิตามินบี3 ได้แก่ มะเขือเทศ แครอท บรอคโคลี จากข้อมูลล่าสุด พบว่าครีมที่มีส่วนประกอบของไนอะซินช่วยให้ผิวดูชุ่มชื้น อ่อนเยาว์ การอักเสบลดลงภายใน 6 วัน  และวิตามินตัวที่เป็นสารอาหารจำเป็นในการสร้างเล็บ เส้นผม ผิวหนัง คือวิตามินบี7 (Vitamin B7) โดยส่วนใหญ่พบว่าเราไม่ค่อยขาดวิตามินบี7 เนื่องจากสารอาหารตัวนี้พบได้ตามทั่วไป เช่น ไข่ ข้าว ข้าวโอ๊ต

วิตามินเค (Vitamin K)

ในทางการแพทย์ วิตามินเคในรูปแบบทานมีบทบาทมากในการลดการแข็งตัวของเลือด ล่าสุดสถาบันผิวหนังอเมริกาค้นพบว่าวิตามินเคแบบทาช่วยลดรอยดำใต้ตาเฉกเช่นเดียกับรอยจ้ำเลือด และรายงานสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยการแพทย์แห่งไมอามีพบว่า การใช้ครีมที่มีส่วนประกอบวิตามินเคมีประสิทธิภาพลดบวม ลดรอยช้ำ รอยจ้ำเลือดจากการผ่าตัดโดยใช้เลเซอร์ และวารสารผิวหนังทางด้านความงามของประเทศญี่ปุ่นได้แสดงข้อมูลว่าเจลที่มีวิตามินเคสามารถช่วยลดรอยดำใต้ตาได้ เริ่มต้นควรใช้ทาในตอนกลางคืน 1-2 ครั้ง/สัปดาห์ หลังจากที่ผิวปรับสภาพได้และไม่พบอาการข้างเคียง สามารถปรับใช้เป็นทุกวันในตอนกลางคืน ทั้งนี้ เราสามารถเติมวิตามินเคในมื้ออาหารเพื่อบำรุงร่างกายจากภายในได้จาก ผักสลัด ผักกาด ถั่วเขียว

จะเห็นว่าวิตามินตัวเดียวกัน มีหลายบทบาททั้งทำให้ดูอ่อนเยาว์ ลดรอยไหม้แดด ลดสิวและการอักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้น การดูแลร่างกายหรือการดูแลผิว ไม่เพียงแต่เลือกใช้แค่ตัวใดตัวหนึ่ง ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยการประสานงานจากสารอาหารต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก ดังนั้น ควรเลือกทานอาหารให้หลากหลาย โดยเสริมอย่างพอเหมาะด้วยวิตามินซึ่งเป็นตัวช่วยชะลอและป้องกันภาวะต่าง ๆ ได้