อยากผิวดี ทานอะไร-by-Doctor-Healthcare

ลมหนาวมาเยือนเมื่อไร ปัญหาที่มักพบเจอบ่อยอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากนอกจากสุขภาพกายแล้วยังมีอีกเรื่องคือ “สุขภาพผิว” ไม่ว่าจะผิวแห้ง ผิวเป็นขุย แสบผิวหรือสารพัดปัญหาก็แก้กันไป แต่ถ้าเราจะไม่ต้องกังวลอีกเลยไม่ว่าจะฤดูกาลไหนก็ยังคงความผิวดี ดูHealthy ตลอดไป เชื่อว่าเป็นสิ่งทุกคนอยากได้รับคำชมเช่นนี้แน่นอน

 

healthy skin

 

รู้เขารู้เรา ว่าด้วยผิว

นอกจากภายนอกที่ต้องบำรุงดูแลแล้ว การดูแลจากภายในก็จำเป็นเช่นกัน สิ่งสำคัญที่ทำให้เราคงความผิวดีได้ตลอดคือเราต้องเข้าใจพื้นฐานก่อนว่าต้นทุนผิวหรือพันธุกรรมที่ได้มาก็ทำให้แต่ละคนมีลักษณะผิวที่แตกต่างกัน อายุที่เปลี่ยนไปความต้องการของผิวที่ใช้บำรุงก็ต่างกัน สิ่งสำคัญคืออะไรที่ใช้หรือทานแล้วดีสำหรับคนนึงอาจจะไม่ดีกับอีกคนก็ได้  แต่ก็พบว่าหลักการพื้นฐานที่ทำให้ผิวดีตามที่ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์แนะนำไม่ต่างกัน

 

สารอาหารจำเป็นที่ไม่ควรพลาด

โอเมก้า3 (omega3) โครงสร้างเซลล์ผิวของเรานั้นมีส่วนประกอบที่เป็นไขมันซึ่งทำหน้าที่คัดเลือกสารอาหารเข้าเซลล์ กักเก็บความชุ่มชื้น โอเมก้า3 เป็นตัวสำคัญในส่วนนี้ อีกทั้งยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบจากอนุมูลอิสระที่มาจากแสงแดด มลภาวะ และการทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง นั่นหมายถึงว่าถ้าเราได้รับปริมาณโอเมก้า3 ไม่เพียงพอย่อมส่งผลให้ผิวเราไม่ดีตามไปด้วย ปริมาณที่แนะนำคือ 500-1000 มิลลิกรัมต่อวัน(ติดตามเรื่องโอเมก้า3 ได้ที่…ประโยชน์ของโอเมก้า3 นะคะ)

วิตามินเอ (Vitamin A) ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นสารติดอันดับต้นๆที่ใช้ในวงการการแพทย์ด้านผิวหนัง ทั้งความสวยงามหรือโรคทางผิวหนัง เช่น โรคผื่นผิวหนังอักเสบ โรคสะเก็ดเงิน เนื่องจากวิตามินเอมีส่วนช่วยในการเร่งการผลัดเซลล์ผิว ต้านอนุมูลอิสระ ควบคุมการทำงานของต่อมไขมันที่เซลล์ผิวหนังและต้านฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศชายแอนโดรเจน(androgen)ซึ่งทำให้เกิดภาวะมีสิว ผิวมัน ขนดก สัญญาณที่มักพบได้ในคนที่ขาดวิตามินเอคือ ผิวลอก ผิวเป็นขุย ปริมาณที่แนะนำคือ 700-1300 ไมโครกรัมต่อวัน แหล่งที่พบวิตามินเอได้ เช่น ตับ น้ำมันตับปลา ไข่แดง นมพาสเจอไรส์ อะโวคาโด ส้ม แคนตาลูป

วิตามินซี(Vitamin C) อย่างที่เรารู้กันอยู่แล้วว่าคอลลาเจน(collagen)เป็นโครงสร้างที่ทำให้ผนังเซลล์เราคงความยืดหยุ่นได้ สังเกตได้จากผิวที่ดูเต่งตึงในช่วงเด็กและวัยรุ่น ผนังหลอดเลือดที่สูบฉีดได้ดีไม่เป็นความดันโลหิตสูง อายุมากขึ้นส่งผลให้คอลลาเจนเสื่อมและปริมาณลดลงทุกวัน การสร้างคอลลาเจนจะต้องใช้วิตามินซีเป็นตัวช่วย อาการที่บ่งบอกถึงภาวะขาดวิตามินซีได้แก่ ผิวหยาบ รอยย่นหรือตีนกา อาหารที่ให้วิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง สตรอเบอร์รี่ ผลไม้รสเปรี้ยว ปริมาณแนะนำที่ออกฤทธิต้านอนุมูลอิสระคือ 200-1000 มิลลิกรัมต่อวัน

วิตามินอี(Vitamin E) หรือ tocopherol เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบได้ในอาหาร เช่น ไข่แดง ผักใบเขียว ถั่วเหลือง ถั่วต่างๆ น้ำมันมะกอก ปริมาณที่แนะนำต่อวันคือ 300-400 มิลลิกรัม

แร่ธาตุสังกะสี(Zinc) และ ซีลีเนียม(selenium) ก็เป็นตัวที่มีบทบาทในการเจริญเติบโตของผิว เล็บ ขน ผมด้วยเช่นกัน พบได้ในอาหารทะเล โฮลวีต เห็ด ถั่วต่างๆ รวมทั้งเจ้าแห่งสารต้านอนุมูลอิสระโคเอนไซม์คิวเท็น(CoQ10)ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว

 

วิธีปฏิบัติตัวเพื่อผิวดี

นอกจากสารอาหารที่สำคัญเบื้องต้นแล้ว การที่จะมีผิวดีได้นั้นต้องมีปัจจัยอื่นๆร่วมด้วย

  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ประมาณ 2-3 ลิตรต่อวัน เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดริ้วรอย
  • นอนหลับพักผ่อนอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการหลับลึกในช่วงเวลานอนตอนต้น จะเป็นเวลาที่สมองหลั่งโกรทฮอร์โมน(growth hormone)ออกมาซ่อมแซมร่างกายมากที่สุด
  • ครีมกันแดดที่สามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB ช่วยลดการระคายเคืองผิวจากแสงแดด
  • ระดับอุณหภูมิของน้ำที่ใช้อาบที่ไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป

สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือความสม่ำเสมอในการดูแล และรออย่างเข้าใจว่าผิวดีจริงจากภายในแบบปลอดภัยต้องใช้เวลา ร่วมกับการทานอาหารให้หลากหลายเพื่อได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์หลายๆตัวในปริมาณที่เหมาะสม เพราะการทำงานประสานกันย่อมส่งผลให้ผิวเนียนใสดูสุขภาพดีได้มากกว่าสารอาหารเพียงตัวเดียว หลังจากนี้ไม่ว่าจะฤดูกาลไหนก็หมดกังวลกับเรื่องปัญหาผิวไปได้เลยค่ะ